Phuket in my Memory

จะว่าไปฉันตกหลุมรักภูเก็ต ก่อนที่จะตกหลุมรักผู้ชายจริงจังสักคนซะอีก
ตอนอายุ 16 ปี ฉันเดินทางไปภูเก็ตช่วงปิดเทอมกับพ่อ
ไปบ้านพี่สาว และก็บ้านน้าสาวเพราะพวกเขามีครอบครัวอยู่ที่นั่น
มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน ที่ฉันได้ทำความรู้จักกับภูเก็ต
.................................................................
ถ้าเปรียบภูเก็ตเป็นผู้ชาย
เราก็เพิ่งจะรู้จักกันตอนนั้น  มีอะไรๆหลายอย่างที่ฉันสนใจ
โดยเฉพาะทะเล ฉันชอบทะเล และอยากรู้จักภูเก็ตให้มากขึ้น
ฉันชอบดวงอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ
และอีกหลายมุมที่ดวงอาทิตย์ตกได้สวยบาดใจ
เขามีเสน่ห์ ดึงดูดให้ใครหลายคนมาชื่นชมในความโรแมนติกของเขา
ฟ้าสีครามน้ำทะเลหลากสีตามเวลา ของแสงที่แทงลงไปปะทะกับปะการังและแพลงตอล
ฉันชอบไปนั่งวาดรูปเล่นที่ใต้สะพานคอลอนบริด
ตรงนั้นมีโขดหิน ยื่นออกไปในทะเล มีลำคลองเล็กๆไหลเข้าไปในหมู่บ้าน
มีเรือหางยาวจอดกันเรียงราย
มีต้นไม้ใหญ่ มีกิ่งใบเป็นพุ่มแปลกตา
ทุกครั้งที่ฉันไปเยือนภูเก็ต  ฉันก็หวังว่าฉันจะได้กลับไปอีกครั้ง
และหลังจากนั้น ทุกๆครั้งที่ปิดเทอม
ฉันก็จะไปภูเก็ต
เพื่อเป็นการเที่ยวที่ไม่ไร้สาระจนเกินไป
ฉันสมัครงานเป็นพนักงานเสริฟที่ร้านอาหารสวีเดน
เป็นร้านของเพื่อนน้าสาวและเป็นเจ้าของโรงแรมขนาดกลางแถวหาดกะหลิม
ฉันสนุกที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่ เป็นเชฟทำอาหารเป็นชาวสวีเดน
เขาพูดภาษาอักกฤษเก่ง ฉันชอบเข้าไปในครัว แล้วตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับของทุกอย่างที่อยู่ในครัว
อันนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร สวีเดนเรียกว่าอะไร (ภาษานี้อยากรู้เฉยๆ)
บางครั้งฉันก็เริ่มสงสารคนตอบ ที่ทำอาหารไป ตอบคำถามไป แต่เขาก็ยินดีตอบทุกคำถาม
ฉันก็จดๆเอาไว้ คิดในใจว่ากลับไปเทอมนี้เกรดวิชาภาษาอังกฤษคงจะดีขึ้นไม่น้อย
ด้วยความที่อยากรู้มากจนเกินไป
เขาบอกว่าฉันเหมือน  Mosquito ที่แปลว่า ยุง แล้ว เติมไม้เอกเข้าไป
ทุกคนในครัวก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่
ฉันถึงยอมหยุดตั้งคำถามลงบ้าง แต่ก็ยอมได้ไม่นาน
โอ้วววว Mosquito มาอีกแล้ว
ทุกๆวัน ฉันหันไปมองทะเลหน้าบ้านน้า  เราห่างกันแค่ถนนกั้น
เดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้เจอหาดทราย
เป็นเวลาเพียงแค่เดือนเดียว โรงเรียนก็เปิดเทอม พ่อมารับกลับบ้าน
ฉันนึกว่าเชฟจะดีใจซะอีกที่ไม่มี ใครอยู่ถามโน่นถามนี่ให้รำคาญ
เขาบอกว่าต่อไปนี้ในครัวคงไม่สนุก ถ้าไม่มี  Mosquito
วันสุดท้ายที่ทำงาน พวกเขาทำเซอไพรส์หลังเลิกงาน
โดยจัดอาหารที่ฉันชอบกินเตรียมไว้ที่โต๊ะบนชั้นดาดฟ้า
และบอกว่า มื้อนี้สำหรับ Mosquito ของเรา และคืนนั้นก็เฮอากันสนุกสนาน
ฉันยังนึกถึงบรรยากาศและกลิ่นไอทะเลยามดึกวันนั้น
หลังจากที่กลับบ้านไปฉันเฝ้าแต่นึกถึง ภูเก็ต
ราวกับหญิงสาวนึกถึงคนรัก นั่นก็คือมิตรภาพ และความงามที่ได้สัมผัส
............................
หลังจากเรียนจบมัธยม
คราวนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกที่เรียน
ฉันเอนทรานส์ไม่ติด ความคิดที่จะได้เป็นมัณฑนากรสาวก็จบลง
ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในใจฉันไม่มีภูเก็ตเป็นทางเลือก
ฉันอยากไปเรียนที่ ม. บูรพา ที่ชลบุรี
ฉันได้โควต้าเรียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่นั่น
แค่ฉันไปรายงานตัว
แต่ พ่อบอกว่า ที่นั่นมันไกลเกินไปสำหรับเรา
อยู่ใกล้ๆแถวนี้ดีกว่า ไป เรียนภูเก็ตเถอะนะ
อย่างน้อยที่นั่นก็มีญาติๆเราอยู่คอยช่วยดูแลเราได้
ไม่ใช่ฉันไม่อยากไป แต่ฉันอยากเรียนการท่องเที่ยว
ฟังชื่อดูสิ ฉันชอบการท่องเที่ยวนี่เอง
แต่สุดท้ายก็โดนยื่นคำขาด ว่าเป็นทางเดียวที่เลือกได้คือ ภูเก็ต เท่านั้น
ฉันก็เริ่มมองหาว่า เอกอะไรที่ฉันพอจะเรียนได้บ้าง
และแล้ว เอกโทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา ก็สะดุดตาที่สุดด้วยความยาวของมัน
อย่างน้อยก็เป็นทางเลือกสุดท้ายของเด็กเอนสะท้านไม่ติดอย่างฉัน
ฉันถามครูแนะแนว ว่าเอกนี้เขาเรียนอะไรกัน
คำตอบที่ได้ช่างโดนใจ นัยตาปุ๊งปิ๊งเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่น
อ๋อ ... เอกนี้เขาเรียนผลิตสื่อการสอนและการถ่ายภาพ
ผลิตสื่อไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ไปโดนใจ ตรงที่ ถ่ายภาพ
ฉันคิดขยายความคำนี้ไปไกล
ฉันต้องมีกล้องถ่ายภาพของตัวเอง
ฉันต้องได้เดินทางถ่ายภาพ และนั้นหมายความว่าได้เที่ยวไปในตัว
ความคิดประชดประชันที่เคยจะให้พ่อมาสร้างมหาลัย' หน้าบ้านก็หายไป
ก็ได้ ๆ ฉันจะไปภูเก็ต
..................................................
วันรายงานตัว ต้องสอบสัมภาษณ์
ตอบคำถามที่อาจารย์ 5 คน ที่นั่งอยู่ตรงหน้า จ้องฉันคนเดียว
ใช่ ...ฉันตื่นเต้นตัวสั่น  แต่พอเจอคำถามว่า เธอวาดรูปเป็นหรือเปล่า?
เท่านั้นความสั่นประหม่าก็เริ่มหายไป
และฉันก็ได้โชว์ฝีมือการวาดภาพต้นมะพร้าวไม่มียอดสองต้น พร้อมทะเลและดวงอาทิตย์
 กับนกอีกสองสามตัว อย่างรวดเร็ว

การเรียนเอกนี้ไม่ได้ใช้แค่คอมพิวเตอร์หรือกล้องถ่ายรูป
หากวันหนึ่งไฟดับ หรือไม่มีคอมฯให้ใช้ขึ้นมา
เธอก็ต้องใช้มือทำเองได้  โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทั้งหมด
.....................................................
หลังจากวันนั้นการเรียนก็เริ่มขึ้นในอีกไม่นาน
ฉันไปซื้อกล้องที่หาดใหญ่ กล้องตัวแรกในชีวิต
Nikon  FM 10  เป็นกล้องแมนวลธรรมดา
อาจารย์บอกว่า ถ้าซื้อกล้องดิจิตอล ก็ไม่ต้องมาเรียน เพราะมันจัดการทุกอย่างให้แล้ว
ไม่ต้องใช้สมอง ฉันเริ่มจะเข้าใจในคำนี้ก็ตอนที่ต้องวัดแสง ปรับโฟกัสเอง
หลังจากได้กล้องมา ฉันรู้สึกว่าเรามีของเล่นใหม่ เราต้องลองใช้ให้คุ้ม
ฉันถ่ายทุกอย่างที่เห็นแล้วฉันคิดว่ามันสวย
ทุกๆวันหยุด พวกเราก็ยังสะพายกล้อง แบกขาตั้งกล้อง ตะลอนกันทั่วภูเก็ต
หาดทุกหาด เกาะทุกเกาะที่เราพอจะไปได้
เราเก็บภาพไว้หมด แต่ มันไม่ค่อยจะได้เรื่องอะไรนัก
เป็นช่วงที่ถ่ายไปทดลองไป
เวลาไปส่งงานอาจารย์ ก็เจอคำถามที่จี๊ดไปถึงใจ
นี่..... เธอใช้นิ้วไหนกดชัตเตอร์ ถึงได้ภาพนี้มา??
เป็นอะไรที่ต้องแก้ไขกันตลอดเวลาและมากมาย
พวกเราต้องซื้อฟิล์ม ขาวดำ ฟิล์มสี ฟิล์มสไลด์ น้ำยาและกระดาษอัดภาพขาวดำ
ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้าไปใช้ห้องมืดและได้อัดภาพด้วยตัวเอง ในนั้นใช้ได้แต่แสงสีแดงเท่านั้น
อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยรู้เลยจนมาอายุ 18 ปี นี่แหละ
ว่าการอัดขยายภาพ เขาทำกันยังไง
ทุกครั้งที่ไม่มีวิชาที่ต้องเรียนในห้องเรียน
พวกเราก็เอากล้องคล้องคอ แล้วขี่มอเตอร์ไซต์ออกไปหามุมแปลกๆถ่ายภาพกัน
แต่กว่าจะกดแต่ละภาพ ก็ต้องคิดหลายอย่าง เลยกลายเป็นข้อจำกัดในการกดชัตเตอร์
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอคำถามว่าใช้นิ้วไหนกด  และค่าฟิล์มจะได้ไม่บานมากนักในแต่ละเดือน
มันเป็นการเรียนที่สนุกแต่ก็หนักใช้ได้  มีทั้งฤษฎีและปฏิบัติ
กางเกงยีนส์ตัวเก่ง เสื้อชอป และรองเท้าผ้าใบคอนเวิรส์ นั่นคือชุดเก่งของพวกเรา
ทำให้อาจารย์ที่ยึดถือในภาพลักษณ์ไม่ชอบใจในการแต่งกายแบบนั้น
ฉันไม่เข้าใจว่า จะให้พวกเราใส่กระโปรง รองเท้าคัตชูส้นสูง ไปปีนถ่ายภาพได้ยังไงกัน
แค่มองแล้วไม่ถูกตาต้องใจตัวเอง ดูแล้วไม่เรียบร้อย พวกเราก็กลายเป็นตัวประหลาดไปโดยปริยาย
แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับจะส่งงานอาจารย์ในอาทิตย์สุดท้าย
และแน่นอน พวกเราชอบกินของร้อน ไม่หลับไม่นอน จะกลัวอะไรเรามีแรงซะอย่าง
ชีวิตมันก็ตื่นเต้นท้าทายตรงนี้แหละ
เลยจำเป็นต้องจัดคิว แบ่งกันใช้ห้องมืดกันอย่างสนุกสนานๆ
จนตาดำแทบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงกันเลย
และที่เด็ดไปกว่านั้นก็มีการแกล้งหลอกผีกันด้วย
สุดสุด
............................................................
กว่าที่พวกเราจะเรียนจบกันออกมาได้
ต้องผ่านต้องเจออะไรหลายอย่าง
และในมหาวิทยาลัยราฏภัฏภูเก็ต ได้ให้อะไรหลายๆอย่างแก่พวกเราที่ไม่ใช่เฉพาะแค่ความรู้
แต่ได้ให้มิตรภาพ ให้ความมั่นใจที่จะออกไปต่อสู้กับโลกภายนอกอย่างไม่กลัวใคร
ฉันพอใจและภูมิใจในสถาบันที่ฉันได้เรียน
อย่างน้อยฉันก็ทำให้พ่อภูมิใจ เรียนจบมีงานทำ ไม่เป็นภาระของใคร
และช่วงเวลาที่สนุกและแสนสบายก็ผ่านพ้นไปในระยะเวลาเพียง 4 ปี
ฉันก็ได้ใบเบิกทางที่เรียกว่าปริญญาบัติ คณะครุศาสตร์บัณฑิต เอกโทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา
แต่นั่นก็เป็นเพียงกระดาษแค่แผ่นเดียว
สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้การใช้ชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยและมีความสุขที่สุด
และฉันได้รู้จักภูเก็ตอย่างทะลุปรุโปร่ง ในด้านที่ฉันสนใจ
.........................................................................
หลังจากนี้ เมื่อนกอยากจะบิน ก็ได้บินสมใจ ตามแต่ใจปรารถนา
ฉันสมัครงานครั้งแรกในโรงพิมพ์แห่งหนึ่ง และได้เข้าทำงานที่นั่นเป็นที่แรก
รู้สึกเหมือนตัวเองต้องเริ่มเรียนรู้สิ่งๆใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ที่บางครั้งในชั่วโมงเรียน ฉันไม่เคยได้สัมผัส
ชีวิตตอนทำงานช่างแตกต่าง
และรู้สึกเหมือนตัวเองได้ก้าวไปอีกขั้น
...............................................................................
คนเราถ้าต้องการความก้าวหน้าก็ต้องไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
คงต้องได้เวลาเปลี่ยนงาน หลังจากผ่านไปสองปี
และอีกสองปีเปลี่ยนอีก
มันเป็นความโชคดีที่ทุกครั้งที่เปลี่ยนงาน ฉันได้เจออะไรที่ดีกว่าเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน นายจ้าง หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงาน
ฉันใช้ชีวตแบบเรียบง่าย ใช้จ่ายเท่าที่มี
ไม่ขอตังค์พ่อใช้อีกต่อไปตั้งแต่ทำงานมา
ขอบคุณพ่อกับแม่ ที่ทำให้ลูกได้เกิดมาและใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่
และให้ดวงใจและดวงตาที่มองโลกแต่ในแง่ดี ทำให้ลูกได้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบ่งปันใครๆ
ขอบคุณครูอาจารย์ที่ให้คำแนะนำ คอยสั่งสอนตักเตือน แนะนำสิ่งดีดี
ขอบคุณเพื่อนๆที่ไม่ทิ้งกัน ( ในวันที่ไปถ่ายภาพเพ้นแฟลตในวัดตอนดึกๆ)
ขอบคุณโกที่คอยให้กำลังใจอยู่ไกลๆ และทำให้รู้จักคำว่า เหงา อย่างสุดจะบรรยาย
สุข ทุกข์ เศร้า ดีใจ หัวเราะ ร้องไห้ เป็นระยะเวลา 10 กว่าปี ในภูเก็ต
เหมือนได้เจอทุกฤดูของชีวิตที่นั่น
ก่อนที่ใครอยากจะให้ฉันลืมภูเก็ต เพียงเพราะเรื่องเรื่องเดียวที่ผิดพลาดไป
ไม่ใช่สิ เรื่องราวผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายตลอดเวลาที่หายใจในภูเก็ต
ขอจงอ่านข้อความที่ฉันได้ย่อมาแล้วสุดชีวิตในหน้านี้อย่างละเอียด
และโปรดใช้จินตนาการในการอ่าน

ขอบคุณ ณ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม